เสาร์ ที่ 30 กันยายน 2017
อธิษฐานมากขึ้น
Pray More
“จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงสู้ทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน” (โรม 12:12)

    พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังแสดงบางอย่างที่เราต้องการให้การมีชีวิตแห่งชัยชนะในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอในข้อพระคำตอนต้น พระองค์ได้เน้นย้ำว่าถึงแม้จะมีการทุกข์ยากลำบากรอบตัวเรา เราควรจะมีความสม่ำเสมอในการอธิษฐาน

บางคนคิดว่าการอธิษฐานคือการบอกพระเจ้าถึงปัญหาของคุณ หวังว่าพระองค์จะทำบางสิ่งเกี่ยวกับปัญหานั้น นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับการอธิษฐาน วัตถุประสงค์ของการอธิษฐานคือการสามัคคีธรรมหรือการเข้าสนิทกับพระบิดา การเข้าสนิทนั้นช่วยสร้างความรักและทำให้ความรักนั้นเข้มแข็งยิ่งขึ้น

ดังนั้น การอธิษฐานเป็นการเข้าสนิทที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ของคุณกับพระบิดาในสวรรค์ของคุณ นั่นหมายความว่าในการที่คุณจะเติบโตขึ้นและเข็มแข็งในความรักที่คุณมีต่อพระองค์ คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะอธิษฐานมากขึ้นบางคนอธิษฐานเฉพาะเวลาที่พวกเขาต้องการบางสิ่ง แต่เวลาของการอธิษฐานไม่ใช่เวลาที่จะขอสิ่งต่างๆ จากพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นเวลาที่ใช้สื่อสารและสามัคคีธรรมกับพระองค์ นั่นเป็นเวลาที่จะได้ยินสิ่งที่พระวิญญาณจะบอกและรับทิศทางและคำสั่งจากพระองค์เพื่อที่จะทำให้คุณมีชัยชนะทุกวัน

พระคำกล่าวไว้เกี่ยวกับพระเยซูว่า “ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น” (มาระโก 1:35) พระเยซูให้ความสำคัญกับการอธิษฐานเมื่อครั้งพระองค์อยู่บนโลกนี้ เพราะว่าพระองค์ทรงเข้าใจถึงความสำคัญของการสามัคคีธรรมกับพระบิดา เมื่อคุณเชื่อมโยงการอธิษฐานกับความรู้นี้ ชีวิตของคุณจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณจะเกิดผลในสิ่งต่างๆ ที่คุณทำ

คุณต้องการการสามัคคีธรรมที่ต่อเนื่องไปตามพระวิญญาณเพื่อให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างเกิดผล ไม่เช่นนั้นสิ่งต่างๆ ที่คุณทำจะไม่ได้รับอิทธิพลฝ่ายวิญญาณ จงเรียนรู้ที่จะสื่อสารบ่อยครั้งขึ้นกับพระบิดา และมองดูชีวิตของคุณเติบโตขึ้นอย่างมากมาย

คำอธิษฐาน

    ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณพระองค์สำหรับการเปลี่ยนแปลงของพระเจ้าที่ข้าพระองค์มีประสบการณ์ผ่านทางการอธิษฐาน พระสิริของพระองค์เติมเต็มชีวิตของข้าพระองค์ ความรักของพระองค์ในวิญญาณของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รรักการนมัสการต่อพระพักตร์พระองค์! ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระพรและโอกาสที่ได้สามัคคีธรรมกับพระองค์ผ่านการอธิษฐาน ในนามพระเยซู อาเมน

ศึกษาเพิ่มเติม: สดุดี 55:17; ลูกา 21:36; 1 เธสะโลนิกา 5:17


Comments are closed