เขา​ทูล​ตอบ​ว่า “คือ​คน​นั้น​แหละ​ที่​แสดง​ความ​เมตตา​ต่อ​เขา” พระ​เยซู​จึง​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ท่าน​จง​ไป​ทำ​เหมือน​อย่าง​นั้น” (ลูกา 10:37)

คำพูดในข้อพระคัมภีร์ตอนเริ่มต้นของเราเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาขององค์พระผู้เป็นเจ้ากับทนายความคนหนึ่งซึ่งถามพระองค์ใน ลูกา 10:25 ว่า “ท่าน​อาจารย์ ข้าพ​เจ้า​จะ​ต้อง​ทำ​อะไร​เพื่อ​จะ​ได้​รับ​ชีวิต​นิรันดร์?”

พระเยซูตอบสนองเขาด้วยการบอกคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี: นักเดินทางคนหนึ่งได้ถูกปล้นเอาเสื้อผ้าของเขา ถูกทุบตี และถูกทิ้งไว้ในสภาพปางตายที่ข้างทาง ครั้งแรกปุโรหิต และหลังจากนั้นฟาริสีก็ผ่านมา แต่ทั้งคู่ก็หลีกเลี่ยงชายคนนั้น ในที่สุดชาวสะมาเรียคนหนึ่งก็ช่วยชายที่บาดเจ็บนั้น

หลังจากนั้นตามที่ได้อ่านในข้อพระคัมภีร์หลักของเรา พระเยซูตรัสกับทนายที่สงสัยนั้นว่า “ท่าน​จง​ไป​ทำ​เหมือน​อย่าง​นั้น” (ลูกา 10:37) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือให้ทำสิ่งที่ชาวสะมาเรียทำ สิ่งนี้มีผลกับคุณอย่างไรในวันนี้? เอเฟซัส 5:1 บอกให้เราเลียนแบบพระเจ้าในเรื่องความรัก

ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าและอาณาจักรนิรันดร์ของพระองค์นั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ความรักของพระองค์ พระองค์ต้องการให้ทุกคนในโลกรู้ว่าพระองค์ทรงรักพวกเขามากขนาดไหน พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระ​เจ้า​ทรง​รัก​โลก​ดัง​นี้ คือ​ได้​ประทาน​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ทุก​คน​ที่​วาง​ใจ​ใน​พระ​บุตร​นั้น​จะ​ไม่​พินาศ แต่​มี​ชีวิต​นิรันดร์” (ยอห์น 3:16) ความรักของพระองค์เป็นพื้นฐานสำหรับทุกสิ่ง และพระองค์ให้เกียรติเราในการสำแดงและประกาศความรักนั้นในทุกที่ เพราะว่าสิ่งนี้ได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (โรม 5:5)

จงทุ่มเทที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้รู้จักพระคริสต์และมีประสบการณ์กับความรักของพระองค์ จงให้ชีวิตของคุณพรรณาถึงภาพของพระองค์ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ชาวสะมาเรียทำ เขาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความรักของพระเจ้าและเราจะต้องทำเหมือนกัน

คำอธิษฐาน

พระบิดาผู้ล้ำค่า ขอบพระคุณสำหรับข้อความแห่งความรอดซึ่งข้าพระองค์ถูกทำให้เป็นความชอบธรรมของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ และตอนนี้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติในการมีความรับผิดชอบในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐแห่งความรักของพระองค์นี้ต่อโลกของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ถูกบังคับจากภายในอย่างต่อเนื่องเพื่อบอกถึงความรักของพระองค์และสำแดงให้เห็นถึงพระคุณของพระองค์เพื่อพระสิริและคำสรรเสริญของพระองค์ ในพระนามพระเยซู อาเมน

ศึกษาเพิ่มเติม:เอเฟซัส 5:1-2; ยอห์น 13:34


Comments are closed