พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน?” เขาก็กลัวและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครนะ ถึงสั่งลมกับน้ำได้ และมันก็เชื่อฟังท่าน? (ลูกา 8:25)

ชายหนุ่มคนหนึ่งป่วยหนักมากและคิดว่าเขาจะตาย ในเย็นวันศุกร์วันหนึ่งเขาถูกนำมาพบฉัน หลังจากอธิบายให้ฉันฟังว่าปัญหาคืออะไร ฉันพูดกับเขาว่า “มาพบฉันในวันอาทิตย์”

ต่อมาเมื่อเขาแบ่งปันคำพยาน เขากล่าวว่า “เมื่อศิษยาภิบาลคริสพูดกับฉันว่า  “มาพบฉันในวันอาทิตย์” ฉันรู้ว่าฉันจะไม่ตายก่อนวันอาทิตย์ เพราะว่าฉันจะต้อง ไปพบเขา” เขายึดมั่นในถ้อยคำว่าจะได้พบฉันในวันอาทิตย์ ในที่สุดเราก็ทำพันธกิจต่อเขา และเขาได้รับการฟื้นฟูอย่างน่าอัศจรรย์

นั่นเป็นวิธีการดำเนินชีวิตของคุณในพระคำของพระเจ้า นั่นคือคุณยึดพระคำจากพระเจ้าที่มาถึงคุณและทอดสมอชีวิตของคุณไว้ที่พระคำ คุณดำเนินชีวิตตามพระคำ นอกจากนี้ยังทำให้ฉันระลึกถึงประสบการณ์ระหว่างพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ในบางเหตุการณ์ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ให้​พวก​เรา​ข้าม​ทะเล​สาบ​ไป​ฝั่ง​โน้น” (ลูกา 8:22) ในระหว่างแล่นเรือมีพายุมากจนเหล่าสาวกกลัวและร้องทูลต่อพระอาจารย์ว่า “พระ​อา​จารย์ พระ​อา​จารย์ เรา​กำ​ลัง​จะ​พินาศ”

พระอาจารย์ตอบสนองต่อพวกเขา คือ สิ่งที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์หลักของเรา พระองค์ถามพวกเขาว่า “ความเชื่อของเจ้าอยู่ที่ไหน?” คำถามของพระองค์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับลมและพายุ แต่พระองค์กำลังพูดว่า “ฉันบอกเจ้าว่าเรากำลังจะไปอีกฝั่งหนึ่ง และถ้าฉันบอกอย่างนั้น เราก็ต้องมาถึงอีกฝั่งหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงลมพายุที่พัดแรง เราจะไม่พินาศระหว่างทาง!” พระองค์กำลังพูดว่า “พวกเจ้าควรพึ่งพิงในคำพูดของฉัน”

มันไม่แตกต่างว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นรอบตัวคุณ จงปฏิเสธที่จะตื่นตระหนก อย่ากระวนกระวายกับลมเศรษฐกิจหรือการเมืองรอบตัวคุณ จงยึดมั่นอยู่ในพระคำของพระเจ้า จงดำเนินชีวิตอยู่บนพระคำของพระเจ้า จงดำเนินชีวิตบนพระคำของพระองค์และรู้ว่าจนกว่าคุณจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จก็จะไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งคุณได้ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำลายคุณ จงไปทำธุรกิจของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐโดยปราศจากความกลัวและความรู้สึกถูกคุกคาม ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าอาศัยอยู่ในตัวคุณ ฮาเลลูยา!

ถ้อยคำแห่งความเชื่อ

ฉันยอมจำนนต่อการพันธกิจของพระคำอย่างสิ้นเชิง และผ่านทางการศึกษาและการใคร่ครวญ พระคำนั้นผสมผสานกับวิญญาณของฉันและผลิตสิ่งที่ข้อความนั้นได้กล่าวถึงในตัวฉัน ฉันตอบสนองต่อสถานการณ์และสภาพแวดล้อมจากจุดยืนของพระคำ ดังนั้นฉันจึงดำเนินชีวิตอย่างมีชัยทุกวัน ในพระนามของพระเยซู อาเมน

ศึกษาเพิ่มเติม

ลูกา 10:19; กันดารวิถี 14:9; สดุดี 22:28; มัทธิว 10:28


จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาอยู่เสมอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

 (เอเฟซัส 5:20)                                                         

สมองของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือด้านขวาและด้านซ้าย ด้านซ้ายคือสิ่งที่คุณใช้ในการวิเคราะห์ คำนวณ และวางแผน นอกจากนี้ยังใช้ในการหาข้อแก้ตัว ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีงานที่คุณต้องทำให้สำเร็จ แต่คุณพูดว่า “ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะสามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้” นั่นคือสมองด้านซ้ายของคุณที่กำลังทำงานอยู่ มันหาสาเหตุของความสำเร็จหรือความล้มเหลว

ในอีกด้านหนึ่งสมองด้านขวาของคุณ คือสิ่งที่มองดูรูปภาพ สร้างจินตนาการ และให้คำตอบ มันผลิตความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความงดงาม สี แต่น่าเศร้าที่โลกรอบตัวเราส่วนใหญ่ถูกปกครองด้วยประสาทสัมผัส เราจึงถูกสอนให้ใช้เหตุผลมากขึ้น ดังนั้นคนส่วนใหญ่พึ่งพาสมองด้านการวิเคราะห์ของพวกเขา (ด้านซ้าย) และผลก็คือพวกเขาไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ พวกเขาไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องทราบว่าสมองด้านขวาของคุณสามารถถูกเปิดใช้งานได้ และหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำสิ่งนี้ให้สำเร็จก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นในข้อพระคัมภีร์หลักของเรา นั่นคือ “จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาอยู่เสมอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง… ” พระเจ้าทรงรู้เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างคุณ พระองค์ทรงรู้ว่าถ้าคุณขอบพระคุณอยู่เสมอ คุณก็จะมีทัศนคติที่ชื่นชมยินดีไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดและสามารถหาคำตอบและวิธีแก้ปัญหาได้ ที่นี่คุณจะเห็นสีสัน ความงดงาม และด้านที่สว่างกว่าของชีวิต

ดังนั้นจงเรียนรู้ที่จะขอบพระคุณเสมอสำหรับทุกสิ่ง มันไม่แตกต่างว่าคุณจะเป็นหนี้หรือหลายคนที่เป็นหนี้คุณไม่สามารถชำระหนี้ได้ จงขอบพระคุณ! เจ้าของบ้านอาจแจ้งให้คุณทราบถึงการยกเลิกการเช่า อย่างไรก็ตามจงขอบพระคุณ! บางทีคุณอาจได้ยินว่า บริษัท หรือองค์กรที่คุณทำงานกำลังคัดคนงานออก และชื่อของคุณก็อยู่ในรายชื่อนั้น จงขอบพระคุณ! ไม่ว่าความท้าทายจะเป็นอย่างไร ก็จงขอบพระคุณ

พระคัมภีร์บอกให้เรารู้ว่าการขอบพระคุณในทุกกรณี คือ น้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์สำหรับคุณ (1 เธสะโลนิกา 5:18) ฮีบรู 13:15 กล่าวว่า “เพราะ​ฉะนั้น ให้​เรา​ถวาย​คำ​สรร​เสริญ​เป็น​เครื่อง​บูชา​แด่​พระ​เจ้า​ตลอด​ไป​โดย​ทาง​พระ​องค์​นั้น คือ​ถวาย​ผล​จาก​ปาก​ที่ขอบพระคุณแก่พระ​นาม​ของ​พระ​องค์” เมื่อคุณมีทัศนคตินี้ ทัศนคติของการขอบพระคุณชีวิตของคุณก็จะเป็นชีวิตแห่งชัยชนะ พระสิริ ความชื่นชมยินดี และคำพยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ฮาเลลูยา!

คำอธิษฐาน

พระบิดาที่สมควรแก่การสรรเสริญ พระองค์ทรงพระคุณและกรุณา! จากส่วนลึกของหัวใจข้าพระองค์ขอบพระคุณสำหรับพระคุณ พระเมตตา พระปัญญา และฤทธิ์อำนาจซึ่งข้าพระองค์ใช้ในการดำเนินชีวิตในชัยชนะ และเจริญรุ่งเรืองในทุกสิ่งที่ข้าพระองค์ทำ ในพระนามของพระเยซู อาเมน

ศึกษาเพิ่มเติม

1 เธสะโลนิกา 5:18; ฮีบรู 13:15; 1 พงศาวดาร 16:8-10


                                                                                                                             

จงพิจารณาตัวเองดูว่าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวเอง(2 โครินธ์ 13:5)

มีคนที่คิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าอนุญาตให้เกิดภัยพิบัติหรือมีส่วนในความโชคร้ายที่ผู้คนต้องทนทุกข์ มันเหมือนเพื่อนที่คร่ำครวญว่า “ฉันกำลังออกไปรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำงานเพื่อพระองค์ทุกวัน ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังอนุญาตให้มารฆ่าลูกของฉัน” แต่นั่นไม่เป็นความจริง! องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มีส่วนในความชั่วร้ายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้คน นี่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของพระองค์ พระองค์เป็นความรักที่สำแดงออกเป็นตัวบุคคล ไม่มีความมืดในพระองค์

อะไรก็ตามที่คุณทนทุกข์ที่ไม่ได้สอดคล้องกับการจัดเตรียมของพระคริสต์ในข่าวประเสริฐไม่ได้มาจากพระเจ้า ชีวิตคือเรื่องฝ่ายวิญญาณ และคุณต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคุณ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและวิธีการใช้ความเชื่อของคุณ พระเยซูตรัสใน มัทธิว 17:20 ว่า “…ถ้า​พวก​ท่าน​มี​ความ​เชื่อ​เท่า​เมล็ด​มัส​ตาร์ด​เมล็ด​หนึ่ง พวก​ท่าน​จะ​สั่ง​ภูเขา​นี้​ว่า ‘จง​เคลื่อน​จาก​ที่​นี่​ไป​ที่​โน่น’ มัน​ก็​จะ​เคลื่อน​ไป และ​สิ่ง​ใด​ที่​เป็น​ไป​ไม่​ได้​สำ​หรับ​พวก​ท่าน​จะ​ไม่​มี​เลย” นี่เป็นการป่าวประกาศที่เต็มไปด้วยอำนาจอธิปไตย ดังนั้นคำถามก็คือว่าคุณกำลังทำอะไรกับความเชื่อของคุณ? คุณทำให้ความเชื่อของคุณทำงานอย่างไร?

พระคัมภีร์กล่าวว่า “แต่​คน​ชอบ​ธรรม​ของ​เรา​นั้น​จะ​ดำ​รง​ชีวิต​อยู่​ด้วย​ความ​เชื่อ…” ฮีบรู 10:38 การใช้ความเชื่อของคุณเพื่อจัดการกับวิกฤตการในชีวิตทุกวันเป็นความรับผิดชอบของคุณ ยากอบ 1:22 กล่าวว่า “แต่​จง​เป็น​ผู้​ประ​พฤติ​ตาม​พระ​วจนะ ไม่​ใช่​เป็น​เพียง​ผู้​ฟัง​เท่า​นั้น มิ​ฉะ​นั้น​จะ​เป็น​การ​หลอก​ตัว​เอง” การทำตามพระคำคือกุญแจสำคัญ  คุณปฏิบัติตามความเชื่อของคุณโดย “การทำตาม” พระคำ เราเป็นผู้ปฏิบัติตามพระคำ

ถ้าสิ่งต่างๆไม่ได้เกิดผลอย่างที่คุณคาดหวัง นั่นไม่ใช่ความผิดของพระเจ้าเพราะว่าพระองค์ทรงสมบูรณ์แบบ เนื่องจากพระองค์ทรงสมบูรณ์แบบ คุณจึงต้องตรวจสอบสิ่งอื่นว่าความผิดพลาดนั้นมาจากไหน เป็นได้ว่าคุณอาจไม่เข้าใจพระองค์หรือพระคำของพระองค์ดีพอ บางทีคุณอาจไม่ได้ทำในสิ่งที่พระองค์พูด หรืออาจจะไม่ใช่เวลาที่ถูกต้อง ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องที่คุณจะต้องทำก็คือการตรวจสอบความเชื่อของคุณเองตามที่คุณได้อ่านในข้อพระคัมภีร์หลักของเรา

ชีวิตแห่งความเชื่อที่มอบให้แก่เรานั้นไม่ใช่การหลอกลวง องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ซ่อนอยู่หลังความเชื่อเพื่อที่พระองค์จะไม่ทำในสิ่งที่พระองค์บอกว่าพระองค์ได้ทำแล้ว ความเชื่อเกิดผลเสมอ ถ้าไม่เกิดผลก็แสดงว่านั่นไม่ใช่ความเชื่อ ดังนั้นจงทำให้ความเชื่อของคุณเติบโตขึ้นโดยการเพิ่มพูนความรู้ของคุณในพระคำ

คำอธิษฐาน

พระบิดาที่รัก พระองค์ทรงสมบูรณ์แบบและไม่มีความแปรปรวนและเงาแห่งการเปลี่ยนแปลงในพระองค์ ข้าพระองค์รับผิดชอบต่อชีวิตของข้าพระองค์ด้วยการทำให้ความเชื่อของข้าพระองค์เติบโตขึ้นผ่านทางพระคำและทำให้เข้มแข็งขึ้นด้วยการใช้งาน ดังนั้นข้าพระองค์จึงทำให้เกิดชัยชนะและความมีชัยในทุกสถานการณ์และสภาพแวดล้อม ในพระนามของพระเยซู อาเมน

ศึกษาเพิ่มเติม

สดุดี 18:30; 2 โครินธ์ 1:20; ฮีบรู 13:8; มัทธิว 24:35;  ยากอบ 1:17


 เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด (ลูกา 9:24)

ชายคนหนึ่งแนะนำลูกชายของเขาที่เป็นคริสเตียนไม่ให้กระตือรือร้นเพื่อพระเยซูคริสต์มากเกินไป เขาเป็นห่วงว่าลูกชายอาจจะเสียชีวิตเพราะรับใช้พระเยซูคริสต์และประกาศข่าวประเสริฐ แต่ลูกชายตอบว่า “พ่อครับ ผมแค่ทำในสิ่งที่พระเยซูบอกว่าผมควรทำ ผมกำลังรับใช้พระองค์ด้วยชีวิตของผม”

ชายคนนั้นโกรธเคืองและพูดอย่างรุนแรงว่า “คุณกำลังทำสิ่งที่พระเยซูกล่าวว่าคุณควรทำหรือ? นั่นเป็นสาเหตุที่พระองค์ตายตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนอายุ 33 ปี! พวกเขาฆ่าพระองค์!” เช่นเดียวกับชายคนนั้นมีหลายคนที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพระคริสต์หรือความหมายของชีวิต มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณดำรงชีวิตอยู่นานเท่าไร แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่คุณดำรงอยู่

ความจริงก็คือว่าสำหรับคนเช่นนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกเขาต้องการมีชีวิตยืนยาวหรือต้องการให้คนที่รักมีชีวิตยืนยาว ถ้าเป็นเช่นนั้น พระเจ้าได้ทรงสัญญาถึงนิรันดรกาลกับพวกเขา ปัญหาที่แท้จริงของพวกเขาก็คือการกลัวตาย

ตราบใดที่การกลัวตายครอบงำมนุษย์ เขาก็จะไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยศักยภาพที่ดีที่สุดของเขาได้ นั่นคือเขาไม่สามารถทำให้การทรงเรียกในชีวิตของเขาสำเร็จได้ เขาจะพูดและทำสิ่งที่เขาไม่ได้เชื่อจริงๆ ทั้งหมดก็เพื่อช่วยชีวิตของเขาให้รอด แต่เราได้อ่านในข้อพระคัมภีร์ตอนเริ่มต้นของเราว่า “…เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต…” จงดำเนินชีวิตของคุณเพื่อพระคริสต์อย่างเต็มที่! คุณต้องสามารถพูดได้ว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะยืนหยัดเพื่อพระเยซูคริสต์และแผ่นดินของพระองค์! ฉันจะประกาศข่าวประเสริฐไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”

จงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ในลูกา 10:19 ว่า “นี่​แน่ะ เรา​ให้​พวก​ท่าน​มี​สิทธิ​อำ​นาจ​เหยียบ​งูร้าย​และ​แมง​ป่อง และ​ให้​มี​อำ​นาจ​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​ฤทธา​นุ​ภาพ​ของ​ศัตรู​นั้น ไม่​มี​อะไร​จะ​มา​ทำ​อัน​ตราย​พวก​ท่าน​ได้​เลย” ขณะที่คุณออกไปประกาศข่าวประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสุดท้ายนี้ อย่ากลัว เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเองคือเครื่องป้องกันของคุณ ถึงแม้ตอนนี้พระองค์ก็กำลังพูดกับคุณแบบเดียวกับที่พระองค์พูดกับอัครทูตเปาโลในกิจการ 18:10 ว่า “เพราะ​ว่า​เรา​อยู่​กับ​เจ้า​และ​จะ​ไม่​มี​ใคร​ต่อ​สู้​ทำ​ร้าย​เจ้า เพราะ​ว่า​มี​คน​จำ​นวน​มาก​ใน​นคร​นี้​ที่​เป็น​ประ​ชา​กร​ของ​เรา”

ถ้อยคำแห่งความเชื่อ

ฉันดำเนินชีวิตอยู่ในมิติแห่งชีวิตที่ซึ่งความตายไม่มีอำนาจ ฉันถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ฉันเอง​ไม่​มี​ชีวิต​อยู่​ต่อ​ไป แต่​พระ​คริสต์​ต่าง​หาก​ที่​ทรง​มี​ชีวิต​อยู่​ในฉัน​ ชีวิต​ซึ่ง​ฉัน​ดำ​เนิน​อยู่​ใน​ร่าง​กาย​ขณะ​นี้ ฉัน​ดำ​เนิน​อยู่​โดย​ความ​เชื่อ​ใน​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า​ ผู้​ได้​ทรง​รัก​ฉัน​ และ​ได้​ทรง​สละ​พระ​องค์​เอง​เพื่อ​ฉัน​ ฮาเลลูยา!

ศึกษาเพิ่มเติม

อิสยาห์ 41:10; สุภาษิต 29:25; 2 ทิโมธี 1:7