ข้อพระคัมภีร์มีความหมายที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งมากกว่าที่พบในฉบับคิงเจมส์ ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้เราพบได้ในพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานอเมริกัน กล่าวไว้ว่า “ไม่มีถ้อยคำใดที่มาจากพระเจ้าจะปราศจากฤทธิ์เดช” นั่นคือความหมายในฉบับภาษากรีก

เวลาที่บางคนให้ข่าวสารแก่คุณและคุณต้องการจะรายงานข้อมูลนั้น คุณอาจกล่าวว่า “เขาบอกบางสิ่งกับผม” แต่คุณจะไม่พูดว่า “เขาบอกถ้อยคำแก่ผม” ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวถ้อยคำกับคุณ ในทำนองเดียวกันถ้าคุณพูดบางประโยคและบางคนต้องการจะรู้ว่าคุณพูดอะไร ในภาษากรีกจะใช้ประโยคว่า “เมื่อสักครู่คุณพูดถึงสิ่งใด?”

นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมจึงเกิดปัญหาในการแปล ลูกา 1:37 เพราะว่าถ้อยคำก็คือสิ่งของ (เหมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง) ทุกครั้งที่พระเจ้าตรัส ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเต็มล้นด้วยฤทธิ์อำนาจ พระคำของพระเจ้าไม่เคยว่างเปล่า นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเมื่อพระคำของพระเจ้ามาถึงคุณ คุณต้องยึดไว้และปฎิบัติตาม ในพระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจที่จะสร้างบางสิ่งในคุณ และเพื่อคุณ ข้อความที่มาถึงมีฤทธิ์เดชที่จะทำให้เกิดเป็นจริงได้

ดังนั้นการตอบสนองต่อพระคำของพระเจ้าของคุณควรเหมือนกับมารีย์ “…ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” (ลูกา 1:38) มารีย์วางใจในพระคำของพระเจ้า ข้อความที่ทูตสวรรค์ได้นำมาถึงเธอ เธอเชื่อและตอบสนองและพระคำนั้นทำงาน การตอบสนองต่อพระคำเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่มีถ้อยคำใดที่มาจากพระเจ้าที่จะไม่มีฤทธิ์เดช ใช่แล้ว แต่ฤทธิ์อำนาจนั้นจะทำงานเมื่อคุณตอบสนอง

ตัวอย่างเช่น ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าบอกเราในต้นปีนี้ว่า จะเป็นปีแห่งการอัศจรรย์ของเรา ถ้อยคำนั้นได้ไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ความรับผิดชอบของคุณคือยึดพระคำนั้นไว้ และกล่าวออกมาว่า “ฉันกำลังจะพบการอัศจรรย์ และประจักษ์ในการอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” เพราะเราใช้หลักการที่ว่า “เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า… เหตุฉะนั้นเราอาจกล่าวด้วยความมั่นใจว่า..” (ฮีบรู 13:5-6) นั่นคือหลักการ เป็นวิธีที่คุณจะปลดปล่อยฤทธิ์อำนาจของพระคำ ทำให้พระคำมีชีวิตและเกิดผลในชีวิตของคุณ

คำอธิษฐาน